เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.พ. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูสิ ดูอย่างวัด เราเกิดมา เราต้องหาที่พึ่งที่อาศัย คนเราเกิดมาต้องมีรวงมีรัง เกิดมานะ เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าการก่อสร้างจนมากเกินไป มันก็เป็นเรื่องของความกังวล แต่ถ้าเราไม่ก่อสร้างเลย เราก็ไม่มีที่อาศัย แต่ที่อาศัยมันอยู่ที่ว่าความพอดีตรงไหนไง

ความดีของคน เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ ตรงที่ว่าเราว่าเป็นความพอดีของเรา เป็นความพอดี นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบๆ นะ ความเห็นอย่างหยาบๆ มันจะเข้าไปหาความละเอียดไม่ได้ ถ้าเราไปติดความอย่างหยาบ เพราะเราเข้าไป เราไม่เคยเห็นสิ่งนี้ พอเราเห็นสิ่งนี้ เราจะติดว่ามันละเอียดแล้วๆ มันยังมีละเอียดเข้าไปลึกล้ำเข้าไปนะ เวลาเราสวดมนต์น่ะ เวลาพระสวดมนต์ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องพยายามทำให้สิ่งที่ดีกว่านี้ มันจะละเอียดลึกลับมาก แล้วมันจะซึ้งใจมากว่าทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ท้อใจนะว่าจะสอนใครได้อย่างไร จะสอนใครได้อย่างไร เพราะว่ามันละเอียดลึกซึ้งมากอยู่จากภายใน

ความคิดว่าเป็นนามธรรมนี้ก็ละเอียดแล้วนะ ความคิดของเราเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมว่าจับต้องไม่ได้ แล้วเวลามันให้ทุกข์ ทำไมให้ทุกข์นี้มันเสียดแทงใจเราเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนว่าคนที่มีความทุกข์มากถึงกับทำลายตัวเองนะ เพื่อจะหนีทุกข์นะ เห็นไหม ความคิดของโลก เพื่อจะหนีทุกข์ แต่ไอ้ความเจ็บปวดนี้มันจะตามไปๆ ตลอด เพราะมันหนีตัวเองไม่ได้

มันหนีชีวิตนี้ ชีวิตนี้คือไออุ่น คือพลังงานตัวนี้ พลังงานตัวนี้มันคือความรับรู้อันนี้ มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชา คือมันรู้ทุกอย่างเลย มันรู้สิ่งต่างๆ การศึกษาเล่าเรียน การรับรู้โลกภายนอก มันจะรู้ไปหมดเลย ดูอย่างวิทยาศาสตร์ เขาต้องออกไปดาวอังคาร เขาต้องออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ แต่เรื่องของโลกเรายังไม่มีใครเข้าใจนะ แกนของโลกสิ่งต่างๆ ที่ว่าลึกลับ เวลาขุดค้นทางวิทยาศาสตร์ ขุดค้นทางศิลปกรรม ขุดค้นไปเป็น ๔๐ ล้านปี ๕๐ ล้านปี ฟอสซิลจะเห็นสภาวะแบบนั้น แล้วก็ทึ่งมาก พอเจอทีหนึ่งก็ตื่นเต้นกันมาก ตื่นเต้นกันมาก

สิ่งที่ซับสมอยู่ในโลกนี้เรายังพิสูจน์ไม่ได้เลย อันนี้ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา ความรู้สึกของเรา สิ่งที่เป็นนามธรรม เราพิสูจน์สิ่งนี้ไม่ได้ แล้วเรื่องของโลก เรื่องของความเป็นไปนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า จักรวาลมีหลายจักรวาล ดวงอาทิตย์มีมากเลย ต่อไปเวียนกลับมาแล้วมันจะเผาโลกๆ ไง กาลเวลามันจะเป็นไป สิ่งนั้นมันเป็นไป แต่เราก็ไม่สามารถจะรับรู้สิ่งนั้นได้

ดูสมัยพุทธกาล ว่าต่อไปจะมีฝนเหล็ก จะมีฝนเหล็ก มีพวกระเบิด สมัยพุทธกาลก็ไม่เข้าใจนะ สิ่งนี้ไม่เข้าใจหรอก แต่พอมาสมัยปัจจุบันนี้ เราจะรู้เลยว่าฝนเหล็กมันคืออะไร เวลาเขาทิ้งระเบิดกันทีจะรุนแรงมากขนาดไหน คนเราต้องเป็นต้องตายไปเพราะอำนาจของคนที่คิดทำสงครามกัน เพราะอะไร ต้องการมีอำนาจไง เวลามีอำนาจอันหนึ่ง มีอำนาจส่วนของตัวเองแล้วก็ต้องปกคลุมคนอื่นจะให้อยู่ในอำนาจของตัวเอง นี่กิเลสเป็นสภาวะแบบนั้น แต่อำนาจของใจ อำนาจของกิเลสเราที่มันทำให้เราฟุ้งซ่าน

วัดวาอาราม อารามนี้เป็นที่อยู่ของผู้มีศีล เป็นที่ของผู้ประพฤติปฏิบัติ ธรรมก็อยู่ในหัวใจของผู้ที่มีศีลมีธรรม ธรรมในหัวใจของผู้มีศีลมีธรรม เราต้องสร้างอารามของใจเราขึ้นมา วัตรปฏิบัติ เห็นไหม หลวงปู่ฝั้นบอกว่า ไปวัดให้วัดใจ วัดใจของเรา ถ้าเรามีข้อวัตรของเรา มันมีกฎกติกาไง คนวัดร้าง ชาวพุทธเรามักสุกเอาเผากินไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ปล่อยวางๆ เราก็ปล่อยวางแล้ว เราไม่ทำอะไรเลย เราจะปล่อยวาง เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลย เราจะปล่อยวาง เห็นไหม มันไม่มีข้อวัตร ไม่มีปฏิบัติ มันจะไปปล่อยวางอะไรล่ะ ถ้ามันปล่อยวางตามความคิดของตัว มันก็ปล่อยวางความคิดนามธรรม นามธรรมนั้นยึดสิ่งใดก็ว่าปล่อยวางสิ่งนั้นๆ

มันจะปล่อยอะไรได้ ในเมื่อมันไม่รู้สิ่งใดเลย อวิชชาไง มันรู้สิ่งข้างนอก ข้างนอก เห็นไหม ปล่อยวางคือว่าเราต้องการแก้วแหวนเงินทอง เดี๋ยวนี้มีครูบาอาจารย์เขาสอนกันนะว่าถ้าเราจะละสักกายทิฏฐิ เราต้องละสมบัติของเราให้หมดเลย นี่เขาหลอกกันขนาดนั้นนะ หลอกว่าให้ปล่อยวางสิ่งข้างนอก ถ้ามีสมบัติขนาดไหน เรายึดติดสมบัตินั้น ต้องเอาสมบัตินั้นมากองไว้เป็นของกลาง แล้วใช้ร่วมกัน เขาว่าละสักกายทิฏฐิ ละความเห็นผิดของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่อย่างนั้น ละสักกายทิฏฐิไม่ใช่ละความเห็นจากภายนอก

นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกมันไปยึดโลก ยึดความรู้สึก ยึดต่างๆ ยึดสิ่งที่ว่ามันส่งออกไป แล้วเราปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา มันปล่อยวางสิ่งที่ยึดเข้ามา มันก็เป็นตัวของมันเอง ถ้ามันมีสติขึ้นมา ตรงนี้มันจะตั้งมั่นได้ จิตนี้จะตั้งมั่น จิตนี้จะมีเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นควรแก่การงาน จิตที่ควรแก่การงานมันจะมาซักฟอกตัวเองไง ถ้ามันซักฟอกตัวเอง มันจะเกิดวิปัสสนา ถ้ามันซักฟอกตัวเองแล้วมันปล่อยวางในการยึดมั่นถือมั่นในตัวมันเองต่างหาก

มันมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวมันเอง มันถึงตั้งขึ้นมาเป็นภวาสวะ สิ่งที่เป็นภวาสวะคือสถานที่เกิดขึ้นของความคิด ความคิดนี้ เอาตรงนี้เป็นฐาน พอความคิดเอาตรงนี้เป็นฐาน มันเกิดขึ้นมา แล้วเราว่าเราปล่อยวางจากภายนอก แล้วฐานตัวนี้มันไม่ได้แก้ไขเลย ถ้าไม่ได้แก้ไขฐานตัวนี้ มันก็ไม่ได้แก้ไขกิเลสเลย ถ้าไม่แก้ไขกิเลส อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาตรงนี้ไง วิปัสสนามันเกิดขึ้นมาตรงนี้ ตรงที่ว่ามันมาแก้ไขส่วนที่มันยึดมั่นถือมั่นตัวมันเอง มันก่อตัวของมันขึ้นมาเองตรงที่เป็นภวาสวะ เป็นตัวมันเอง มันยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ถ้ามันยึดมั่นถือมั่น ก็ยึดมั่นในกายกับจิต

ถ้ายึดมั่นในกายกับจิต มันก็ต้องใช้ปัญญาย้อนกลับเข้ามา มรรคมันจะละเอียดเข้าไปๆ มันจะทึ่งมากนะ ถ้าเราภาวนาเป็น เราเห็นยกขึ้นวิปัสสนาได้ ใจมันจะวิปัสสนาไป ปัญญาญาณมันจะเริ่มเกิดขึ้น มันจะเริ่มการทำงานไป มันจะเห็นการปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอน มันจะมีความมหัศจรรย์ แล้วมันจะทึ่ง ทึ่งว่าสิ่งนี้มันละเอียดขนาดนี้ เราจะรู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร...มันรู้ได้ไง

เวลาเราบวชขึ้นมา เวลาว่าเห็นพระที่ว่าเป็นครูบาอาจารย์ ท่านสวดปาฏิโมกข์ได้ ท่านสวดได้เราก็ทึ่งนะ แล้วเวลาเราไปสวดได้ขึ้นมา เราก็ว่าทำไมเราจำได้ขนาดนี้ เราจำได้ขนาดนี้ สิ่งที่จำมาปาฏิโมกข์ยังจำได้ แล้วทำไมเวลานี้ สิ่งที่ว่าจดจารึกมา มันจำๆ กันมา สิ่งนี้เป็นสัญญาไง

เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรมขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นหลักเป็นแกน แกนอะไร? แกนออกมาจากใจของครูบาอาจารย์เพราะอะไร เพราะมันเป็นอริยสัจ อริยสัจเกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีอริยสัจขึ้นมา จะวนเวียนขนาดไหน จะเป็นไปขนาดไหน อริยสัจอันนี้เกิดขึ้นมาจากใจ จะไม่มีจางไปจากใจนั้น สิ่งที่คงที่คืออริยสัจ แต่เรื่องของความเป็นไปของโลก เรื่องสัญญา เรื่องความจำ เรื่องบัญญัติต่างๆ มันลืมได้ มันจำได้ แต่อริยสัจอันนี้มันจะไม่ลืม มันเกิดขึ้นมากจากใจของครูบาอาจารย์อันนี้เป็นหลัก

ทีนี้เราฟังธรรมขึ้นมาแล้ว เราฟังธรรมขึ้นมา เราจับหลักของเราขึ้นมา แต่มันจะไม่เหมือนกัน ความประพฤติปฏิบัติไปมันจะไม่เหมือนกัน เวลามันเป็นไป มันจะเป็นไปโดยปัจจัตตังของเราเอง ถึงว่ายึดสิ่งนั้นเป็นหลัก แต่ไม่ใช่ว่าต้องให้เป็นอย่างนั้น จะให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีองค์เดียว พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีองค์เดียว อัครสาวกต่างๆ เอตทัคคะ ๘๐ ก็ไม่เท่ากัน สิ่งที่ไม่เท่ากัน มันถึงว่าเวลาเกิดขึ้นมา ไม่ต้องไปล้อมกรอบตัวเองไง ถ้าเราล้อมกรอบตัวเองว่าต้องเป็นแบบนั้นๆ อันนั้นเป็นสัญญาความจำ แล้วเราว่าสิ่งนี้มันจะเข้าไปเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นไปสภาวะแบบนั้นมันก็ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา

มัชฌิมาปฏิปทามันจะเกิดสภาวะของมันเอง สิ่งที่ของมันเอง เวลาเราฝึกซ้อมของเราตลอดไป เวลาเราวิปัสสนาขึ้นมาได้แล้ว วิปัสสนาในกายในจิต ฝึกซ้อมสิ่งนี้ตลอดไป ปัญญามันละเอียดเข้าไป มันปล่อยวางเข้ามา มันละเอียดขนาดไหน เราก็ฝึกซ้อมสิ่งนี้นั้นไปเรื่อยๆ ความฝึกซ้อม ฝึกซ้อมมันจะมีลึกลับขนาดไหน นี่ปัญญามันเกิดขึ้นมาสภาวะแบบนี้

สิ่งที่ว่าเป็นมรรคหยาบ มรรคละเอียด คนมันจะหยาบก็ได้ ละเอียดก็ได้ แล้วแต่อำนาจวาสนา ถ้าหยาบ เห็นไหม ขิปปาภิญญา เวลาเกิดขึ้นมา เวลาทำ ทำง่ายรู้ง่าย ทำยากรู้ยาก มันอยู่ที่จริตนิสัย แล้วเวลาเกิดขึ้นมาเป็นสภาวธรรม มันจะต่างจากสัญญา ต่างจากจินตมยปัญญา จินตมยปัญญาคือการใคร่ครวญ สิ่งที่ใคร่ครวญเป็นจินตมยปัญญา แล้วเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะวนกลับมา มันเหมือนกับนกกับปลาไง ปลาอยู่ในน้ำจะไม่รู้เรื่องของการบินไปของนก นกก็ไม่เคยลงไปในน้ำ ก็จะไม่เข้าใจสิ่งนั้น นี่นกกับปลา

ปริยัติ ปฏิบัติ มันจะมีสภาวะแบบนั้น ปริยัติคือเหมือนกับอยู่ในน้ำ มันก็อยู่เฉพาะในน้ำ มันไม่รู้เรื่องของอากาศว่าจะบินไปได้กว้างไกลขนาดไหนหรอก แต่ถ้านกมันบินไปกว้างไกลขึ้นมา สิ่งนี้มันถึงจะว่าจะพูดกัน นก ปลา มันก็ต้องว่าในน้ำมหัศจรรย์มาก มันไม่เข้าใจเรื่องของอากาศเลย สิ่งที่นกบินไปในอากาศ เห็นต้นไม้ เห็นความเวิ้งว้าง ก็ไม่เข้าใจเรื่องอย่างนั้นเลย มันถึงว่ามีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้วเกิดจากภาวนามยปัญญา ครูบาอาจารย์จะรู้สิ่งนี้ พอรู้สิ่งนี้ขึ้นมา มันลึกลับคนละส่วนกันๆ

ถึงที่สุดไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมไว้ให้เราก้าวเดินสภาวะไป มันอยู่ที่ส่วนไหน ถ้าเราศึกษาธรรม อย่างปริยัติขึ้นมา เขาจะตื่นเต้นมาก แล้วว่าการศึกษาธรรมแล้วต้องร่มเย็น ถ้าถึงความร่มเย็น ร่มเย็นคือความอยู่ในศีลธรรมจริยธรรม แต่เวลามันต่อสู้กับกิเลส มันเป็นการฆ่าฟันกันนะ สิ่งที่ฆ่าฟันคือฆ่าฟันกิเลสของตัว การต่อสู้ มันถึงว่าสละแม้แต่ชีวิต ยอมสละชีวิตได้เลย

ถ้าพูดถึงการศึกษาในภาคปริยัติ ว่าอันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค เพราะอะไร เพราะปฏิบัติธรรมมันจะทุ่มถึงชีวิตเชียวหรือ มันจะทำลายชีวิตเชียวหรือ การประพฤติปฏิบัติเพื่อความร่มเย็นของเรา เราต้องมีความนุ่มนวลของเรา มีความร่มเย็นของเรา เป็นความคาดความหมายไง มันคาดหมายเป็นสภาวะ มันก็จะไม่เข้าใจสิ่งนั้น แล้วในสังคมของเขา เขาก็จะว่าอย่างนั้น ของเขาถูกๆ เหมือนกับสังคมของปลามันก็ว่าในน้ำมีเท่านี้ โลกมีเฉพาะในพื้นน้ำนี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่มี เป็นไปไม่ได้หรอก จะไปวัด ต้องทุ่มทั้งชีวิตต้องเป็นไป

แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลามันจะเข้าด้ายเข้าเข็ม มันจะได้เสีย อดนอนผ่อนอาหารนะ ทำเต็มที่เลย ทุ่มไปทั้งชีวิตเลยนะ ชีวิตนี้ทุ่มไปเพราอะไร เพราะมันเห็นผลไง เวลามันปล่อยวาง มันเวิ้งว้าง มันเป็นความมหัศจรรย์ของใจดวงนั้น แล้วมันจะพูดกับใครมันก็ไม่กล้าพูด เพราะสิ่งนี้มันละเอียด จนแบบว่าถ้าคนไม่เข้าใจว่าคนนี้เอาอะไรมาพูดนะ แต่ครูบาอาจารย์ที่ผ่านแล้วจะเข้าใจสิ่งนี้ คุยกับครูบาอาจารย์ได้ คุยกับครูบาอาจารย์ว่าสิ่งนี้สมควรไหม สิ่งนี้เป็นไปไหม ครูบาอาจารย์ที่ผ่านสิ่งนั้นมามันถึงเป็นวงไง วงของผู้ที่ปฏิบัติ วงของผู้ที่มีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม มีหลักมีเกณฑ์จะเข้าใจสิ่งนี้

เวลาหลวงปู่มั่นสอนหลวงตา หลวงตาเข้าป่าเข้าเขาไป อดนอนผ่อนอาหารออกมาจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จนหลวงปู่มั่นตกใจนะ ตกใจว่าทำขนาดนี้เชียวหรือ เหลืองขนาดนี้เชียวหรือ จนซูบซีดขนาดนี้เชียวหรือ แต่บอก “เออ! อย่างนี้สินักรบ นักรบต้องอย่างนี้” กำลังใจมันจะเกิดขึ้น ถ้าบอกว่า “โอ้! ขนาดนี้เชียวหรือ มันก็จะอ่อนแอไป” ครูบาอาจารย์ที่ผ่านแล้ว ทุ่มมาทั้งชีวิตมันจะรู้เลยว่าการเข้าด้ายเข้าเข็มมันจะเป็นสภาวะขนาดไหน

ร่างกายนี้เป็นของสมมุติทั้งหมด มันเป็นอวิชชาไง จิตนี้เป็นอวิชชา มีตัวจิต ตัวพลังงาน ตัวดั้งเดิมมีอยู่ แต่อวิชชามันปกคลุมอยู่ มันก็จะอาศัยสภาวะสิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัย มันจะสงวนมันจะรักษา แล้วเอาสิ่งนี้แลกกัน กิเลสมันจะเอาสิ่งนี้มาแลกว่าจะต้องตายนะ จะต้องไม่ประสบผลนะ เราจะต้องอยู่ในโลกนี้นะ จะต้องทำอยู่ในอำนาจ อยู่ในใต้ของกิเลสหมดไง อยู่ในอำนาจของอวิชชา อยู่ในอำนาจของการตีความธรรมไง สภาวธรรมต้องนิ่มนวล สภาวธรรมต้องอ่อนไหว สภาวธรรมต้องมีสภาวะแบบนั้น สิ่งที่ว่ามีความเด็ดขาด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นเรื่องของกิเลส แต่ความเด็ดขาดของกิเลส กิเลสมันจะขาดออกไปจากใจ มันจะเกิดจากความเด็ดขาดของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะทำลายความเด็ดขาดออกไป แล้วพอมันขาดออกไป มันจะปล่อยวาง มันจะมีความสุขมาก มันจะเวิ้งว้างมาก นั้นเป็นผลขึ้นมาจากการปฏิบัติ

ถึงว่าภาคปริยัติส่วนหนึ่ง ภาคปฏิบัติส่วนหนึ่ง เจ้าคุณอุบาลีฯ พูดไว้กับหลวงปู่แหวน อยู่ในประวัติของหลวงปู่แหวน เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นผู้ที่ว่าเรื่องปริยัติ ในเมืองไทยนี้ล่ำลือมาก เจ้าคุณอุบาลีฯ เวลาเทศน์ทีจะมีคนศรัทธาคนเลื่อมใสมาก แต่เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่มั่นพยายามแก้ไข เห็นไหม แก้ไขเจ้าคุณอุบาลีฯ เวลาท่านพูดกับหลวงปู่แหวนบอกว่า ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติต่างกันราวกับฟ้ากับดิน นี่เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นผู้พูดไว้นะ

ผู้ที่เป็นปริยัติจะเข้าใจเรื่องมาก จะแจกแจงเรื่องปริยัติได้กว้างขวางมาก แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันห่างไกลราวฟ้ากับดิน สิ่งที่เป็นปริยัตินี้ห่างไกลมาก เหมือนกับน้ำกับฟ้าเลย เหมือนกับปลากับนกมีความแตกต่างกัน มันจะแตกต่างโดยสภาวะแบบนั้น ถึงเวลาน่าสลดสังเวชมาก สลดสังเวชที่ว่าในการประพฤติ ในการศึกษามาแล้ว ยึดมั่นถือมั่นนะ จะเป็นความสุขของเขาๆ กอดตำราไป แล้วก็ตายไปกับตำรา ตายไปกับตัวอวิชชา อวิชชาไม่ได้ถลอกปอกเปิก ไม่ได้มีการต่อสู้ ไม่ได้มีการประหัตประหารกับใจดวงนั้นเลย ใจดวงนั้นไม่ได้มีการต่อสู้กับใจของตัวเอง ไม่มีการทำลายภวาสวะไง ตัวยึดมั่นถือมั่นของใจ

มันปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นจากภายนอกเข้ามา เพราะว่าตำราบอกไว้อย่างนั้นว่าสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง มันก็ปล่อยสิ่งที่เป็นอนิจจัง สิ่งที่จิตมันเกิดความรู้สึก เกิดความคิด ความคิดเป็นเรื่องหยาบๆ เป็นเรื่องของภายนอก เพราะขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ เวลาจิตพลังงานตัวนั้นมันออกไปรับรู้ความคิด ก็ว่าปล่อยความคิดขึ้นมา ปล่อยนามรูปเข้ามา ปล่อยสิ่งต่างๆ เข้ามา ปล่อยเข้ามา แต่มันไม่ได้ทำลายตัวมันเอง มันปล่อยจากสิ่งข้างนอกเข้ามา มันถึงไม่ได้ทำลายฐานตัวนี้

ถ้าจะทำลายฐานตัวนี้จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ จะพูดว่าสิ่งที่ผู้ประพฤติปฏิบัติโดยสายวัดป่า ครูบาอาจารย์สายพระป่านี้หลง สายวัดป่านี้ไม่มีปัญญา จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ มันจะไม่มีปัญญา เพราะไม่มีปัญญาในเรื่องการจดจำ ในเรื่องของภาคบัญญัติ ในภาคปริยัติ แต่มันจะมีปัญญารู้ใคร่ครวญปัญญาในตัวมันเอง ปัญญารู้ใคร่ครวญในการชำระกิเลส ปัญญาในการฆ่ากิเลส ปัญญาในการทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายฐานของใจ มันจะมีปัญญาอันลึกลับที่ว่าโลกเขาไม่มี

ถ้าใครเห็นปัญญาอันนี้ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เพราะมันเห็นจากความสามัคคีของปัญญานี้ ใคร่ครวญกิเลส ชำระกิเลสขึ้นมา ขาดออกไปจากใจ ภวาสวะอันนี้ขาดออกไปจากใจ แล้วความคิดมันอยู่บนไหนล่ะ ในเมื่อมันไม่มีฐานรับความคิด ความคิดจะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ ความคิดจะเกิดไม่ได้เพราะมันไม่มีฐานตัวรองรับเลย แต่ถ้ามีฐานตัวรองรับอยู่ นั้นคือมันมี สิ่งที่มันมีคือต้องพยายามยามวิปัสสนาเข้าไป จนถึงที่สุดต้องทำลายฐานตัวนี้เวิ้งว้างไปหมด จนสุดสิ้นกระบวนการของมัน จะละเอียดเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

แล้วมันต้องขุดคุ้ย ต้องค้นคว้า ต้องหาไป มันจะไม่มีการว่า กิเลสจะไม่มารอให้เราฆ่าหรอก กิเลสจะไม่มายืนรอหน้าให้เราเข้าไปทำลายมันหรอก มันต้องขุดคุ้ย ต้องค้นคว้าเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะละเอียดลึกลับเข้าไป ซึ้งในหัวใจมาก

อาราม สิ่งที่อาศัยของใจ ภวาสวะมันเกิดเป็นกิเลส อวิชชาอยู่ในหัวใจของเรา วิชชาคืออารามของใจ ใจจะมีความสุขมาก ใจนี้เป็นธรรมจะมีความสุขมาก ความสุขมากเพราะใจดวงนี้ไม่มีสถานะที่จะไปเกิดอีกแล้ว ใจดวงนี้มีอยู่ แต่ไม่เกิดอีก เป็นความสุขอย่างยิ่ง เอวัง